การดูแลบ้านตรวจสอบระบบไฟฟ้าและสายไฟในบ้านเป็นสิ่งสำคัญเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน

การดูแลรักษาบ้านให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการตรวจสอบระบบต่างๆ เป็นประจำ โดยเฉพาะระบบไฟฟ้า การเดินสายไฟที่ชำรุด ชิ้นส่วนไฟฟ้าที่ล้าสมัย หรือความเสียหายที่มองไม่เห็น อาจนำไปสู่อันตรายร้ายแรง เช่น ไฟไหม้หรือไฟฟ้าช็อต นี่คือเคล็ดลับสำคัญเกี่ยวกับวิธีการตรวจสอบระบบไฟฟ้าและสายไฟในบ้านของคุณ เพื่อความปลอดภัยและความอุ่นใจ

การดูแลระบบไฟฟ้าและสายไฟในบ้านเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้งานนี่คือข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจสอบและดูแลระบบไฟฟ้าในบ้าน:

สัญญาณเตือนปัญหาเกี่ยวกับระบบไฟฟ้า
คุณควรใส่ใจกับสัญญาณเหล่านี้ที่อาจบ่งบอกถึงปัญหาเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าในบ้าน:

เบรกเกอร์ทริปบ่อยครั้ง: เบรกเกอร์จะตัดไฟเมื่อวงจรมีการใช้กระแสไฟเกิน หากมีการทริปบ่อยๆ อาจเกิดจากการใช้ไฟเกินกำลังของวงจร หรือมีปัญหาที่สายไฟ

ไฟกระพริบหรือหรี่ลง: โดยเฉพาะเมื่อมีการเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ อาจบ่งบอกถึงสายไฟหลวม หรือระบบไฟฟ้าไม่สามารถรองรับการใช้ไฟได้เพียงพอ

กลิ่นไหม้: กลิ่นไหม้บริเวณเต้ารับ สวิตช์ หรือตู้ควบคุมไฟ อาจบ่งบอกถึงสายไฟที่ร้อนเกินไป ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง

ไฟฟ้าช็อต: หากคุณรู้สึกถูกไฟฟ้าช็อตเมื่อเสียบปลั๊ก หรือสัมผัสเครื่องใช้ไฟฟ้า อาจมีปัญหากับการต่อสายดิน หรือสายไฟชำรุด

เสียงผิดปกติ: เสียงแตก เสียงเปรี๊ยะ หรือเสียงหึ่งๆ จากเต้ารับ สวิตช์ หรือกล่องฟิวส์ อาจบ่งบอกถึงปัญหาการเชื่อมต่อ

เต้ารับ/สวิตช์ร้อนผิดปกติ หรือมีรอยไหม้: เต้ารับหรือสวิตช์ไม่ควรจะร้อนเมื่อสัมผัส หากพบว่าร้อนหรือมีรอยไหม้/เปลี่ยนสี ควรตรวจสอบทันที

สายไฟชำรุดหรือฉนวนเสื่อมสภาพ: ตรวจสอบสายไฟว่ามีรอยฉีกขาด รอยกัด (เช่น จากหนู) หรือฉนวนเปลี่ยนสีหรือไม่

ปลั๊กหลวม: หากปลั๊กหลวมเมื่อเสียบเข้ากับเต้ารับ อาจทำให้เกิดความร้อนและประกายไฟได้

การตรวจสอบระบบไฟฟ้าด้วยตนเอง (DIY)
คุณสามารถตรวจสอบระบบไฟฟ้าในบ้านด้วยตัวเองได้เป็นประจำทุก 3-6 เดือน เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น:

ตรวจสอบสายไฟตามมาตรฐาน: ดูว่าสายไฟมีการใช้สีตามมาตรฐานหรือไม่ หากไม่ถูกต้อง ควรแก้ไขและเปลี่ยนใหม่เพื่อความปลอดภัย

ตรวจสอบการเชื่อมต่อสายไฟ: ตรวจสอบว่าจุดเชื่อมต่อสายไฟแน่นหนาดีหรือไม่ ควรขันให้แน่นอย่างน้อยปีละครั้ง

สังเกตอุณหภูมิของสายไฟ: ลองสัมผัสฉนวนสายไฟ หากรู้สึกอุ่นหรือร้อนผิดปกติ อาจเกิดจากการใช้ไฟเกินกำลัง หรือการเชื่อมต่อไม่แน่น

สังเกตสีของฉนวนสายไฟ: หากสีของสายไฟเปลี่ยนไป เช่น จากสีขาวเป็นสีเข้มขึ้น หรือมีฝุ่นเกาะมากผิดปกติ อาจบ่งบอกถึงอุณหภูมิที่สูงเกินไป

ตรวจสอบฉนวนสายไฟ: ดูว่ามีรอยไหม้หรือความเสียหายหรือไม่ หากพบ ควรรีบแก้ไขและเปลี่ยนทันที

ตรวจสอบขนาดสายไฟ: ดูว่าสายไฟมีขนาดที่เหมาะสมกับการใช้งานหรือไม่ หากขนาดไม่เพียงพอ ควรเปลี่ยนใหม่

ตรวจสอบสายไฟในฝ้าเพดานหรือผนัง: ตรวจสอบว่ามีรอยกัดแทะจากหนูหรือไม่ ควรเดินสายไฟในท่อร้อยสาย (Conduit) เพื่อป้องกันความเสียหายจากหนูและน้ำรั่ว

การบำรุงรักษาและดูแลระบบไฟฟ้า
ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันไฟดูด (GFCI/RCD): ติดตั้งอุปกรณ์ตัดไฟรั่วลงดินในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว เพื่อป้องกันไฟฟ้าดูด

ตรวจสอบเครื่องใช้ไฟฟ้า: ตรวจสอบสภาพของเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งก่อนใช้งาน หากมีสภาพไม่พร้อมใช้งาน อาจทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรหรือไฟฟ้าดูดได้

ไม่ใช้ปลั๊กพ่วงเกินกำลัง: หลีกเลี่ยงการเสียบปลั๊กพ่วงหลายตัว หรือใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้กำลังไฟสูงพร้อมกันบนปลั๊กพ่วงเดียว

ดูแลสายไฟให้เป็นระเบียบ: จัดเก็บสายไฟให้เรียบร้อย ไม่พันกัน หรือวางไว้ในที่ที่อาจถูกเหยียบหรือถูกสิ่งของทับ

ทำความสะอาด: ทำความสะอาดปลั๊ก สวิตช์ และเต้ารับจากฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกเป็นประจำ

การตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ
แม้ว่าคุณจะสามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง แต่การให้ผู้เชี่ยวชาญหรือช่างไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติเข้ามาตรวจสอบระบบไฟฟ้าในบ้านเป็นประจำก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบ้านที่มีอายุมาก หรือเมื่อมีการปรับปรุงต่อเติมบ้าน

ความถี่ในการตรวจสอบ: ในบางกรณี กฎหมายอาจกำหนดให้ธุรกิจหรือโรงงานต้องตรวจสอบระบบไฟฟ้าอย่างน้อยปีละครั้ง การตรวจสอบสำหรับบ้านพักอาศัยไม่มีข้อกำหนดที่เข้มงวดเท่า แต่การตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญทุกๆ 5-10 ปี หรือเมื่อมีข้อสงสัย ก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณา

สิ่งที่ช่างไฟฟ้าจะตรวจสอบ: ช่างไฟฟ้าจะตรวจสอบแผงควบคุมไฟ (ตู้ Consumer Unit), สายดิน, สายไฟทั้งหมด, เต้าเสียบ, สวิตช์, และอุปกรณ์ป้องกันกระแสไฟฟ้าต่างๆ

ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ: ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบระบบไฟฟ้าในประเทศไทยจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่และผู้ให้บริการ โดยประมาณสำหรับคอนโดมิเนียมเริ่มต้นที่ 3,500 บาท และสำหรับบ้านเดี่ยวขนาดไม่เกิน 200 ตร.ม. อาจอยู่ที่ประมาณ 6,000 บาท